ปี 2020 ที่แสนโหดร้ายจากวิกฤติ COVID-19 ก็ได้ผ่านไป 1 ไตรมาสกว่าๆแล้ว หลายบริษัทก็ประสบปัญหาขาดทุน หรือรายได้ลดลงกันไปเยอะอยู่ แต่มีอีกหนึ่งบริษัทที่เติมโตสวนกระแสเศรษฐกิจขึ้นมา นั่นคือ RS GROUP หรือ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) ที่ได้ปรับเปลี่ยนธุรกิจจากธุรกิจสื่อมาเป็นธุรกิจพาณิชย์ ภายใต้โมเดล Entertainmerce (Entertainment + Commerce) วันนี้เราจะมาเจาะลึกถึงผลประกอบการของบริษัทนี้ และแนวทางต่อไปกันครับ
โครงสร้างทางธุรกิจของ RS GROUP
RS GROUP ประกอบด้วย 3 ธุรกิจหลัก นั่นคือ ธุรกิจพาณิชย์ ที่มีแพลตฟอร์มการค้าชื่อ RSMALL และมี Lifestar เป็นบริษัทผลิตสินค้า โดยใช้กลยุทธ์ Storytelling ในการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสินค้า เผยแพร่ทางสื่อโทรทัศน์และวิทยุในเครือ และสื่อพันธมิตรอื่นๆ
ธุรกิจสื่อ ประกอบด้วย สถานีโทรทัศน์ช่อง 8 ทีวีดิจิทัลชั้นนำของประเทศไทย ทีวีดาวเทียมอย่าง ช่อง 2 และ RSMALL Channel ซึ่งเป็นช่องทีวีช้อปปิ้งที่เป็นช่องทางขายสินค้าให้กับธุรกิจพาณิชย์ และคลื่นวิทยุ CoolFarenheit ที่เป็นคลื่นชั้นนำในกลุ่ม Easylistening และสุดท้ายกับธุรกิจเพลง ที่ถือเป็นธุรกิจต้นน้ำขของบริษัท เพื่อต่อยอดไปยังธุรกิจพาณิชย์เช่นกัน โดยเน้นการหารายได้ทางช่องทางออนไลน์เป็นหลัก โดยมีค่ายเพลง อาร์สยามเป็นหลัก และในปีนี้ทาง RS GROUP จะนำค่ายเพลงระดับตำนานอย่าง Kamikaze และ Rose Sound กลับมาทำอีกครั้ง
และทั้งสามธุรกิจนี้ ได้ผนึกกำลังรวมกันเพื่อสร้างธุรกิจที่แตกต่างและโดดเด่น โดยทุกธุรกิจสื่อและเพลง จะมีธุรกิจพาณิชย์แฝงอยู่ในตัวของตัวเองตลอด เช่น ทีวีช่อง8 เป็นช่องทางขายสินค้าของ RSMALL วิทยุก็เช่นกัน ส่วนเพลง ก็เป็น Content เพื่อดึงคนมาติดตามสื่อในเครือ และขายสินค้าผ่านทางตัวศิลปินนั่นเองครับ
ผลประกอบการ ไตรมาส 1/2563
สำหรับไตรมาส 1 ปี 2563 นี้ ถึงแม้เศรษฐกิจโดยรวมจะประสบปัญหาจากภาวะ COVID-19 แต่สำหรับ RS GROUP นั้น ทำกำไรได้สวนกระแสเศรษฐกิจเลยทีเดียวครับ ด้วยรายได้รวม 985 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาสก่อน และกำไรสุทธิ 186 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 184% เลยทีเดียว
โดยเป็นรายได้จากธุรกิจพาณิชย์ 500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% ที่เพิ่มขึ้นน้อยก็เพราะได้รับผลกระทบจาก COVID-19 นั่นเอง แบ่งเป็นรายได้จาก Inbound (ลูกค้าโทรเข้ามาสั่งซื้อสินค้า) 228 ล้านบาท เติบโตจากการขยายช่องทางการโฆษณาผ่านทีวีดิจิทัลช่องไทยรัฐทีวี เวิร์คพอยท์ และล่าสุด อมรินทร์ทีวี / Outbound (โทรเสนอขายสินค้า) 239 ล้านบาท และช่องทาง Online 33 ล้านบาท โดยมีแคมเปญ RSMALL Mega Cashback ช่วยกระตุ้นยอดขาย และยังออกสินค้าที่ตอบโจทย์การป้องกันไวรัส Covid-19 อีกด้วย
ธุรกิจทีวี มีรายได้ 336 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 94% จากไตรมาสก่อน แม้ว่าเศรษฐกิจโดยรวมและการบริโภคภาคเอกชนจะปรับตัวลดลง แต่งบโฆษณาทางทีวี (ไม่รวมการซื้อสื่อจาก ธุรกิจโฮมช้อปปิ้ง) ในช่วงไตรมาส 1/20 ยังทรงตัว อย่างไรก็ตำม ตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของ Covid-19 ทำให้เกิดการเลื่อนใช้งบโฆษณาทางทีวีออกไปบางส่วน
อย่างไรก็ตามช่อง 8 ได้ปรับตัว ทั้งรูปแบบการเสนอขายโฆษณา ที่นอกจากสปอตปกติแล้ว มีการ Tie-In ในรายการ และการผลิตคอนเทนต์รวมถึงการหารายได้เพิ่มเติมจำก การนำคอนเทนต์ไปขายในต่างประเทศและแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ รวมถึง ต้นทุนการผลิตคอนเทนต์ลดลง และได้รับประโยชน์จาก การยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญำตประกอบกิจการทีวีดิจิทัล และอัตราเงินนำส่งรายปีกองทุนวิจัย (USO) ที่ลดลง
ส่วนธุรกิจวิทยุ มีรายได้ 36 ล้านบาท ลดลงจากการไม่สามารถจัดกิจกรรมต่างๆได้ แตในไตรมาสนี้ จะนำ CoolAnything มาเป็นแพลตฟอร์มขายสินค้าทางวิทยุ เพื่อสร้างรายได้ให้กับธุรกิจพาณิชย์
ธุรกิจเพลง มีรายได้ 109 ล้านบาท รายได้หลักมาจาก Youtube และการให้บริการสตรีมเพลงผ่าน Joox / Spotify และการขายลิขสิทธิเพลง ถึงแม้ผลกระทบจาก Covid-19 จะทำให้ไม่สามารถจัดอีเว้นท์ได้ แต่ในเดือนกุมภาพันธ์ได้มีคอนเสิร์ต D2B Infinity Fun 2020 ทำรายได้ไป 31 ล้านบาท
แนวทางต่อไปในปี 2020
สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจจ่อไปของ RS GROUP นั้น จะเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยข้อมูล ขยายช่องทางการขายไปยังแพลตฟอร์มต่างๆ และจะเริ่มลงโฆษณาทางทีวีช่องต่างๆ มากขึ้น และจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของ Coolism จะมีการปรับเปลี่ยนแอพพลิเคชั่นใหม่ เป็นแอปช้อปปิ้งที่สามารถฟังวิทยุได้ คาดว่าจะอัพเดทในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม
ในส่วนของช่อง 8 เดือนมิถุนายนจะมีรายการใหม่ 2 รายการ เป็นรายการแบบ Entertainmerce โดยรายการ นายจ๋าทาสมาแล้ว จะต่อยอดขายอาหารสุนัขและแมว ส่วนเกมเคาะแล้วขาย จะเป็นเกมโชว์ขายสินค้า จะมีรูปแบบรายการอย่างไรต้องคอยติดตามครับ
และสุดท้ายกับธุรกิจเพลง จะมีการขายคอนเทนต์เพลงในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งต่างๆ มากขึ้น และขายสินค้าผ่านทางตัวศิลปินอีกด้วย
เพื่อบรรลุเป้าหมายรายได้ในปี 2020 ทั้งหมด 4250 ล้านบาท เรามาเอาใจช่วย RS GROUP ให้เติบโตไปด้วยกัน และส่วนตัวผมรอการกลับมาของ Kamikaze อยู่นะครับ เฮียฮ้อ 🙂