ในโลกการเงินปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนและคำถามมากมาย Bitcoin ได้กลายเป็นปรากฏการณ์ที่หลายคนอาจมองว่าเป็นแค่ “แชร์ลูกโซ่” หรือ “สแกม” แต่ในช่วง 16 ปีที่ผ่านมา มันกลับไม่เคยหายไปไหนและยังคงถูกพูดถึงอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อราคามีการปรับตัวสูงขึ้น บทความนี้จะเจาะลึกว่า Bitcoin คืออะไร ทำไมมันถึงยังคงอยู่ และแตกต่างจากระบบเงินที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้อย่างไร
Bitcoin คืออะไร? ระบบเงินสดอิเล็กทรอนิกส์แบบ Peer-to-Peer

ตามเอกสาร White Paper ที่เผยแพร่โดย Satoshi Nakamoto ในปี 2008 Bitcoin คือ “Peer-to-Peer Electronic Cash System” หรือ “ระบบเงินสดอิเล็กทรอนิกส์แบบบุคคลต่อบุคคล”
- Peer-to-Peer (P2P): หมายถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลหรือเงินระหว่างบุคคลถึงบุคคลโดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องมีตัวกลางอย่างธนาคารหรือรัฐบาล ทำให้เกิดเสรีภาพในการทำธุรกรรม
- Electronic Cash (เงินสดอิเล็กทรอนิกส์): Bitcoin เป็นเงินดิจิทัลที่มีลักษณะเป็น “เงินสด” ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งหมายความว่าตัวมันเองมีมูลค่า สามารถย้ายจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งได้โดยตรง เหมือนกับการส่งมอบเงินสด ไม่ต้องมีการบันทึกในสมุดบัญชีธนาคาร ก่อน Bitcoin เราไม่เคยมีเงินสดอิเล็กทรอนิกส์ เงินดิจิทัลที่เราใช้จ่ายในโลกออนไลน์ล้วนอยู่ในลักษณะของสัญญาหนี้ที่มีตัวกลางคอยอนุมัติธุรกรรม
- Decentralized System (ระบบไร้ศูนย์กลาง): Bitcoin ไม่ใช่แค่ตัวเงิน แต่เป็น “ระบบ” ที่ทำให้เราสามารถส่งและรับเงินโดยไม่จำเป็นต้องมีตัวกลางได้เป็นครั้งแรก
สิ่งที่ทำให้ Bitcoin พิเศษยิ่งกว่าคือ “จำนวนจำกัด” โดยมีจำนวนสูงสุดเพียง 21 ล้านเหรียญเท่านั้น
💥 กำเนิด Bitcoin และวิกฤตความน่าเชื่อถือของเงิน Fiat
Bitcoin ถือกำเนิดขึ้นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2008 ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐบาลพยายามอุ้มธนาคารและสถาบันการเงินด้วยการ “พิมพ์เงินเพิ่ม” อย่างมหาศาล ส่งผลให้เงินในกระเป๋าของประชาชนเสื่อมค่าลงอย่างรวดเร็ว Bitcoin ถูกสร้างขึ้นมาด้วยเจตนารมณ์ที่จะเป็นเงินที่ “ไม่สามารถผลิตเพิ่มได้” ไม่มีรัฐบาลใดในโลกสามารถเสก Bitcoin ขึ้นมาได้โดยไม่มีต้นทุน และไม่สามารถลดมูลค่าของมันด้วยการ “เงินเฟ้อ” ได้
นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากโต้แย้งว่าเงินที่มีจำนวนจำกัดอย่าง Bitcoin ไม่สามารถเป็นเงินที่ดีได้ เพราะอาจนำไปสู่ภาวะเงินฝืดและเศรษฐกิจถดถอย พวกเขาเชื่อว่าเงินที่ดีควรมีความยืดหยุ่น ให้ธนาคารกลางและรัฐบาลสามารถ “พิมพ์เงิน” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อุ้มธนาคาร หรืออุ้มธุรกิจขนาดใหญ่ได้
แต่คำถามคือ เงิน Fiat (เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเงินบาทไทย) มีอะไรหนุนหลังอยู่จริงหรือ?
- ประวัติศาสตร์ดอลลาร์สหรัฐฯ กับทองคำ: ดอลลาร์สหรัฐฯ เคยถูกตรึงมูลค่าไว้กับทองคำ แต่ในประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ระงับการแลกเปลี่ยนดอลลาร์เป็นทองคำชั่วคราวเพื่อพิมพ์เงินสนับสนุนการทำสงคราม และในปี 1933 ประธานาธิบดีรูสเวลต์ได้ บังคับให้ประชาชนนำทองคำไปคืนธนาคารเพื่อแลกเป็นดอลลาร์ หลังจากนั้นไม่นาน อัตราแลกเปลี่ยนทองคำกับดอลลาร์ก็ถูกปรับลดลง ทำให้มูลค่าดอลลาร์ลดลงกว่า 33-40% ในชั่วข้ามคืน
- The Nixon Shock ปี 1971: หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ดอลลาร์สหรัฐฯ กลายเป็นสกุลเงินสำรองของโลกภายใต้ระบบ Bretton Woods แต่สหรัฐฯ ยังคงพิมพ์เงินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ในที่สุดประธานาธิบดีนิกสันได้ประกาศยกเลิกการผูกค่าเงินดอลลาร์กับทองคำอย่างถาวร ทำให้ ดอลลาร์ไม่ได้มีทองคำหนุนหลังอีกต่อไป
- เงินบาทไทยก็เช่นกัน: ในอดีตเงินบาทไทยเคยถูกหนุนหลังด้วยแร่เงินและทองคำ แต่หลังปี 1932 ไทยได้เลิกผูกเงินบาทกับทองคำและไปผูกกับเงินปอนด์สเตอร์ลิงแทน และในปัจจุบันก็เข้าสู่ระบบ Bretton Woods โดยถือเงินดอลลาร์เป็นทุนสำรอง ทำให้เงินบาทไทยไม่มีสินทรัพย์ที่มีมูลค่าหนุนหลังอยู่ สิ่งเดียวที่หนุนหลังคือหนี้ที่มาจากความมั่งคั่งในอนาคตของประชาชนเพื่อผลิตเงินในปัจจุบัน
📉 การบิดเบือนของ “เงินเฟ้อ” และผลกระทบต่อชีวิตประชาชน

แนวคิดที่ว่า “เงินเฟ้อ 2% ดีที่สุด” ที่เราท่องจำกันมานั้น ไม่มีที่มาจากทฤษฎีหรืองานวิจัยใด ๆ เป็นเพียงตัวเลขที่ธนาคารกลางนิวซีแลนด์กำหนดขึ้นมาแบบคร่าว ๆ ในปี 1990 เพื่อให้ธนาคารกลางมีความยืดหยุ่นในการใช้นโยบายทางการเงิน
วิธีการวัดเงินเฟ้อในปัจจุบันใช้ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นตะกร้าสินค้าที่ใช้เป็นตัวแทนการบริโภค แต่ปัญหาก็คือ:
- การเปลี่ยนแปลงสินค้าในตะกร้า: รัฐบาลมีการเปลี่ยนรายการสินค้าในตะกร้า CPI เพื่อให้ตัวเลขเงินเฟ้อใกล้เคียงกับเป้าหมาย 2% มากที่สุด
- การบิดเบือนคำจำกัดความ: เช่น ราคาบ้านถูกย้ายออกจากการคำนวณ CPI ไปอยู่ในหมวดการลงทุน เพราะราคาบ้านที่พุ่งสูงขึ้นจะทำให้ตัวเลขเงินเฟ้อแท้จริงปรากฏ
- ไม่สะท้อนความเป็นจริง: ตัวเลข CPI ที่รายงานออกมา 2-3% ไม่ได้สะท้อนถึงราคาข้าวของที่แพงขึ้นจริง นั่นหมายความว่า ประชาชนต้องลดคุณภาพชีวิตของตัวเองลงทุกปี เพราะอำนาจการจับจ่ายลดลง
เงินเฟ้อจึงเปรียบเสมือน “คดีอาญา” หรือ “การปล้น” เพราะรัฐบาลสามารถตั้งเป้าหมายว่าจะปล้นความมั่งคั่งของประชาชนได้เท่าไรในแต่ละปี ผู้ที่ได้เปรียบคือกลุ่มคนที่อยู่ใกล้ชิดกับเครื่องพิมพ์เงิน (Cantillon Effect) ที่สามารถใช้เงินที่เพิ่งพิมพ์ออกมาได้ก่อนที่ราคาจะขึ้น
🚀 Bitcoin คือทางออก: เงินที่มั่นคงและเสรีภาพที่แท้จริง
Bitcoin แตกต่างจากเงิน Fiat ตรงที่:
- มูลค่าที่เกิดจากฟังก์ชันการใช้งาน: Bitcoin มีค่าด้วยตัวมันเองจากสิ่งที่มันทำได้ นั่นคือการทำให้เราสามารถส่งและรับเงินระหว่างกันได้โดยไม่ต้องมีตัวกลาง ทุกที่บนโลก ภายในไม่กี่วินาที
- ไม่สามารถถูกทำให้อัตราเงินเฟ้อได้: ด้วยจำนวนจำกัดเพียง 21 ล้านเหรียญ ทำให้ไม่มีใครสามารถพิมพ์ Bitcoin เพิ่มขึ้นและลดทอนมูลค่าของมันได้
- การผลิตที่โปร่งใสและยุติธรรม: การผลิต Bitcoin ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าซึ่งมีต้นทุนจริง ทำให้ทุกคนมีโอกาสผลิต Bitcoin ได้อย่างเท่าเทียมและไม่สามารถโกงได้
Bitcoin คือนวัตกรรมที่เปลี่ยนโลก เพราะมันนำอำนาจในการพิมพ์เงินออกจากมือของรัฐบาล ระบบของ Bitcoin นั้นกระจายตัวไปทั่วโลก แข็งแกร่งพอที่จะต้านทานการแทรกแซงจากรัฐได้ มันคือ “Digital Sound Money” หรือ “ทองคำดิจิทัล” ที่ทำให้เราสามารถมีเงินที่รักษาคุณค่าได้อย่างแท้จริง สร้างความหวังในการเก็บออมและส่งต่อความมั่งคั่งให้คนรุ่นหลังได้ ไม่ใช่ชีวิตที่ยากจนลงเรื่อย ๆ อย่างที่ระบบเงิน Fiat เป็นอยู่
References : สรุปจาก “เพราะพวกเขายังโกหกไม่เลิก โลกถึงต้องมี Bitcoin (ความลับการเงินโลก 81 นาที)” (อ.ตั๊ม – พิริยะ สัมพันธารักษ์ | Youtube : Right Shift”
⚡สนับสนุน SorawichToday ผ่าน Bitcoin Lightning⚡
⚡[email protected]